What is a good city? What is the answer to the happiness of living in a city?
Charles Montgomery states in his book, Happy City, that healthy relationship makes city dwellers feel content. To nurture healthy relationships, a city should provide space and support diverse social activities. This USL Summer Edition is written by our intern, Saipin Laowang.
เมืองแห่งความสุขในจิตนาการของคุณเป็นอย่างไร อาจจะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คนที่เดินอยู่บนทางเท้าตามสองข้างทางอย่างมีชีวิตชีวา การเดินทางไปทำงานที่ไม่เจอปัญหาเรื่องการจราจรติดขัด มีสภาพภูมิอากาศที่ดี หรือเป็นเมืองที่อยู่แล้วรู้สึกปลอดภัย ทั้งหมดที่กล่าวนี้เป็นเพียงแค่ภาพลักษณ์ของเมืองที่เราคิดว่าเป็นเมืองที่มีความสุข แต่จริง ๆ แล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่จะทำให้เมืองเป็นเมืองแห่งความสุข
Charles Montgomery ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Happy City ซึ่งเขาได้พูดถึงองค์ประกอบที่สำคัญที่จะทำให้เมืองเป็นเมืองแห่งความสุข นั้นก็คือการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในเมือง ซึ่งจากการสำรวจในประเทศแคนาดาพบว่าคนที่เชื่อใจเพื่อนบ้านมากกว่าจะอยู่อย่างมีความสุขและจะมีความยืดหยุ่นในชีวิตมากกว่าคนอื่น เช่นเดียวกับประเทศฟินแลนด์ที่ได้รับเลือกให้เป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก จากรายงาน World Happiness Report 2018 โดยสิ่งที่ทำให้คนฟินแลนด์มีความสุขคือความรู้สึกปลอดภัย ไว้วางใจกันได้ ความใจกว้าง ความโอบอ้อมอารีและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่การที่จะทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องมีพื้นที่ที่เป็นสื่อกลางที่จะทำให้ผู้คนเกิดปฏิสัมพันธ์กัน โดยจะยกตัวอย่างเมือง Vancouver ประเทศแคนาดา ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่สีเขียว พื้นที่เพื่อทำกิจกรรมของคนเมือง เช่น สวนสาธารณะ สนามกีฬา และลานอเนกประสงค์ โดยพื้นที่เหล่านี้จะเอื้ออำนวยต่อการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้คนในเมือง และพื้นที่เหล่านี้จะเป็ตัวกลางที่ทำให้เกิดการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองได้ ดังนั้นหากคนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันแล้วก็จะทำให้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองมีความสุขนอกจากมีความสุขแล้วยังส่งผลให้คนมีสุขภาพดีและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจัยที่สำคัญมีอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เมืองเป็นเมืองแห่งความสุขได้ คือรูปแบบของสิ่งก่อสร้างภายในเมือง เช่นที่อยู่อาศัย รวมถึงพื้นที่สาธารณะ และการวางผังเมือง สิ่งเหล่านี้จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อความรู้สึกและการกระทำของคนที่อาศัยอยู่ในเมือง โดยจะเห็นได้จากการออกแบบเมืองโดยที่สามารถเดินทางถึงกันได้ง่าย กล่าวคือที่อยู่อาศัยอยู่ใกล้กับที่ทำงานหรืออยู่ใกล้กับร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้สามารถสร้างความเชื่อมโยงกับพื้นที่รอบ ๆ และทำให้เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ในขณะที่การออกแบบเมืองที่เป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัย เช่น บ้านจัดสรรและอพาร์ทเมนต์ ซึ่งลักษณะที่อยู่อาศัยแบบนี้จะทำให้ผู้คนนั้นไม่เกิดการปฏิสัมพันธ์กันและจะทำให้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้เกิดความรู้สึกแออัดและเกิดความรู้สึกเหงาได้เช่นเดียวกันอีกด้วย
นอกจากนี้การสร้างเมืองให้มีความสุขนั้นไม่ใช่แค่เน้นการสร้างเมืองให้น่ามองหรือเป็นที่จดจำ แต่ต้องเน้นเรื่องความรู้สึกของคนที่อาศัยอยู่ในเมืองด้วย จากการทดลองพบว่าพื้นที่สีเขียวนั้นจะมีผลต่อความรู้สึกของคนมากกว่าพื้นที่ที่มีเพียงตึกคอนกรีต ซึ่งการที่ผู้คนได้ใช้เวลาหรือได้ทำกิจกรรมภายในบริเวณพื้นที่สีเขียวจะทำให้มีความสุขหรือรู้สึกดีมากขึ้น ไม่เพียงแต่เท่านี้การที่ผู้คนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีชีวิตชีวา เช่น บริเวณที่มีร้านค้าหรือร้านอาหาร จะทำให้ผู้คนมีความยินดีที่จะช่วยเหลือผู้อื่นมากกว่าบริเวณที่เป็นตึกอาคารคอนกรีต ดังนั้นความรู้สึกจึงมีผลต่อการกระทำของคนที่อาศัยอยู่ในเมือง
ดังนั้น การที่เมือง ๆ หนึ่งจะเป็นเมืองแห่งความสุขนั้น สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือสิ่งก่อสร้างภายในเมือง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้จะทำให้ผู้คนในเมืองเกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน (Social Connection) และทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกมีความสุขเมื่ออาศัยอยู่ในเมือง ดังนั้นเมื่อผู้คนมีความสุขแล้วก็จะส่งผลให้ผู้คนในเมืองมีรอยยิ้มให้แก่กันและกัน มีความรักใคร่สามัคคีปรองดองกัน ทำให้เมืองมีความปลอดภัยน่าอยู่ แล้วเมืองที่คุณอาศัยอยู่ตอนนี้มีความรู้สึกเหล่านี้แล้วหรือยัง
Happy City เมืองแห่งความสุข
Text and photo: สายพิณ เลาว้าง
Comments